รถยนต์ไร้คนขับ นวัตกรรมเปลี่ยนโลกยานยนต์
มีใครรู้จักรถยนต์ไร้คนขับกันบ้าง? เชื่อว่าน้อยคนนักที่จะรู้จักกันรถยนต์ที่ไม่จำเป็นต้องมีคนควบคุมอย่างแน่นอน เพราะยังไม่เป็นที่แพร่หลายในปัจจุบันนี้ เป็นเทคโนโลยีของปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence : AI) ที่สั่งการให้รถยนต์ของเราขับได้เอง โดยไม่ต้องใช้คนขับนั่นแหละ ในปัจจุบันเทคโนโลยีด้านปัญญาประดิษฐ์ (Artificial Intelligence) ถือว่ามีบทบาทสำคัญในด้านต่าง ๆ ของชีวิตมนุษย์มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นด้าน อุตสาหกรรม การเงิน หรือแม้แต่ยานพาหนะ ล้วนนำระบบปัญญาประดิษฐ์มาช่วยวิเคราะห์เพื่อให้เกิดเป็นระบบอัตโนมัติขึ้น ระบบอัตโนมัติก็มีข้อดีมากมายทั้งช่วยลดการพึ่งพามนุษย์ในการใช้งาน มีความแม่นยำสูง แต่ทั้งนี้ระบบอัตโนมัติก็ต้องผ่านการเรียนรู้ฟังก์ชันต่างๆ เพื่อให้ระบบอัตโนมัติมีความสมบูรณ์มากที่สุด เรามาดูกันดีกว่าว่าเทคโนโลยีของรถยนต์ไร้คนขับมีอะไรบ้าง และมีข้อดีข้อเสียยังไงบ้าง
เทคโนโลยีรถยนต์ไร้คนขับ
เทคโนโลยีที่ใช้ในรถยนต์ไร้คนขับ จะประกอบไปด้วย 4 ส่วนหลัก คือ
1.Computer Vision เปรียบเสมือนตาของรถยนต์ที่ทำให้รถสามารถรับรู้ถึงสภาพแวดล้อมต่าง ๆ ได้ โดยเทคโนโลยีที่ใช้ คือ กล้องถ่ายภาพรอบทิศทาง การใช้โซนาร์ แสงเลเซอร์ เรดา
2.Deep Learning ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ไร้คนขับโดยจะนำเอาเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์มาใช้ในการเรียนรู้วิเคราะห์สภาพท้องถนน รวมทั้งการตัดสินใจเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่าง ๆ เช่น การชะลอความเร็วเมื่อรถคันข้างหน้าลดความเร็วหรือการเร่งความเร็ว การควบคุมรถให้อยู่ในเลน การตรวจสอบป้ายจราจรรวมทั้งสัญญาณไฟจราจร รวมทั้งอื่น ๆ อีกมากมาย
3.Robotic คือ ส่วนที่รับคำสั่งที่ผ่านการประมวลผลแล้ว เพื่อแปลงเป็นเป็นสัญญาณไฟฟ้า แล้วไปสั่งการหรือควบคุมรถให้เป็นไปตามที่โปรแกรมต้องการ
4.Navigation เป็นระบบนำทางโดยใช้ดาวเทียม ซึ่งจะเป็นส่วนหนึ่งในการวิเคราะห์เส้นทางหรือสภาพจราจรเพื่อประมวลผลและกำหนดทิศทางให้รถยนต์ ซึ่งระบบนี้ต้องมีความถูกต้องและแม่นยำ
การทำงานของรถยนต์ไร้คนขับจะต้องมีวิสัยทัศน์คอมพิวเตอร์ (Computer Vision) และระบบนำทาง (Navigation) ที่มีประสิทธิภาพสูงในการรับข้อมูลเพื่อวิเคราะห์สภาพแวดล้อมต่างๆ แล้วนำมาประมวลผลที่หน่วยประมวลผลกลาง (Deep Learning) ซึ่งหน่วยประมวลจะต้องมีประสิทธิภาพสูง เพราะในการวิเคราะห์สถานการณ์ต่าง ๆ ต้องใช้เวลาในการวิเคราะห์ให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะนำคำสั่งส่งต่อให้ระบบควบคุมรถ (Robotic) ที่มีความแม่นยำ เพื่อให้รถยนต์ไร้คนขับทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด
ระดับของรถยนต์ไร้คนขับ
ในปัจจุบันได้แบ่งระดับของรถยนต์ไร้คนขับได้เป็นทั้งหมด 6 ระดับ
Level 0 คือ รถยนต์ที่มนุษย์ต้องควบคุมทุกอย่างด้วยตัวเอง ไล่ไปตั้งแต่การบังคับทิศทาง เบรก สตาร์ทเครื่อง ซึ่งก็คือรถยนต์ในปัจจุบัน
Level 1 คือ รถยนต์โดยมากยังถูกควบคุมโดยมนุษย์ แต่มีบางฟังก์ชั่นที่เป็นไปโดยอัตโนมัติ เช่น การบังคับทิศทาง หรือการเร่งเครื่อง
Level 2 คือ การบังคับทิศทางหรือการเร่งเครื่องอย่างใดอย่างหนึ่งที่ถูกกระทำโดยระบบอัตโนมัติ ซึ่งจะทำให้ผู้ขับขี่ไม่ต้องใช้ทั้งแขนและขาพร้อมกัน เช่น ระบบ Cruise Control
Level 3 คือ รถยนต์ขับเคลื่อนโดยอัตโนมัติแต่ต้องมีผู้ขับขี่คอยเฝ้าระวังและแทรกแซงในกรณีที่ฉุกเฉินหรือต้องการความปลอดภัยสูง
Level 4 คือ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติแบบเต็มตัว แต่สามารถขับเคลื่อนในสภาวะที่มันถูกออกแบบมาเท่านั้น
Level 5 คือ รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติซึ่งมีความสามารถในการขับขี่เทียบเท่ามนุษย์
บริษัทที่ผลิตรถยนต์ไร้คนขับ
ในปัจจุบันมีบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไร้คนขับหลายบริษัทที่ผลิตรถยนต์ไร้คนขับออกมาสู่ตลาดรถยนต์ไม่ว่าจะเป็นบริษัทที่ผลิตรถยนต์อยู่แล้ว เช่น Tesla BMW Volvo General Motor Hyundai Toyota Nissan Honda หรือบริษัทยักษ์ใหญ่ทางด้านไอทีอย่าง Google ก็มีรถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติเป็นของตัวเองเช่นกัน ถึงแม้ในปัจจุบันรถยนต์ไร้คนขับมีการทดสอบการขับขี่บนถนนจริงนับล้านกิโลเมตร แต่ระบบต่างๆ ยังต้องใช้เวลาในการเรียนรู้เพื่อให้รถยนต์ไร้คนขับมีความเสถียรมากที่สุด ตัวอย่างเช่น รถยนต์ของบริษัท Tesla ที่มีการนำรถยนต์ไร้คนขับออกมาให้ผู้ใช้ได้ใช้งานจริงอย่างโมเดล Tesla Model X และ Tesla Model S ถึงแม้รถยนต์ของ Tesla จะยังไม่ใช่รถยนต์ไร้คนขับแบบ 100% แต่ก็เป็นรถยนต์ไร้คนขับแบบกึ่งอัตโนมัติ หรือ ระบบ Autopilot ซึ่งต้องอาศัยมนุษย์คอยควบคุมบังคับพวงมาลัยเป็นหลัก ในขณะที่ Google เองก็ได้พัฒนารถยนต์ไร้คนขับแบบ 100% (Self Driving Car) ที่ผู้โดยสารเพียงแค่กดปุ่มเดียวรถยนต์ก็สามารถขับเคลื่อนได้เองโดยที่ไม่ต้องมีมนุษย์คอยควบคุม Google ได้เริ่มโปรเจคนี้ตั้งแต่ปี 2009 ในปัจจุบัน Google ได้ทดสอบรถยนต์ไร้คนขับแบบ 100% บนถนนอเมริกาไปแล้วมากกว่า 1.7 ล้านไมล์ ตลอดระยะเวลา 6 ปี โดยมีการเกิดอุบัติเหตุเพียงเล็กน้อยจำนวน 11 ครั้ง ซึ่งเป็นอุบัติเหตุที่ไม่ร้ายแรงถึงแก่ชีวิต
ข้อดีของรถยนต์ไร้คนขับ
1.รถยนต์ขับเคลื่อนอัตโนมัติทำให้ผู้ขับขี่สบายขึ้น ในการเดินทางอันแสนยาวนาน คนเราย่อมมีความเหนื่อยล้าเป็นธรรมดา จะดีแค่ไหนที่มีระบบช่วยขับอัตโนมัติที่ทำให้เราสามารถงีบหลับเพื่อคลายความเมื่อยล้าได้ในขณะขับรถ โดยเฉพาะในช่วงเวลาที่รถติดที่ใช้ความเร็วไม่มาก ทำให้การเกิดอุบัติเหตุจากความเหนื่อยล้าของผู้ขับขี่ลดลง
2.มีความปลอดภัยบนท้องถนนมากขึ้น ลองคิดดูนะครับถ้ารถยนต์ทุกคันเป็นรถยนต์ไร้คนขับหมด อุบัติเหตุจะลดลงเป็นอย่างมาก เนื่องจากรถยนต์ทุกคันมีเซนเซอร์ มีกล้องมองรอบทิศทาง และใช้ความเร็วที่เหมาะสม อุบัติจากการขับปาดหน้า จี้ท้าย หลับใน จะไม่มี ซึ่งจะยิ่งเพิ่มความปลอดภัยให้มากขึ้นไปอีก
ข้อเสียของรถยนต์ไร้คนขับ
1.ปัญหาจากความไม่ชัดเจนของป้ายจราจร รถยนต์ไร้คนขับจำเป็นต้องมีเซนเซอร์ในการอ่านป้ายจราจรต่างๆ แต่ถ้าในกรณีที่ป้ายจราจรเกิดชำรุดเสียหายหรือป้ายไม่ชัดเจนอาจทำให้สมองกลของรถยนต์เกิดการตัดสินผิดพลาดได้
2.ปัญหาผิวจราจร ในสภาพความเป็นจริงบางครั้งเราต้องเจอกับถนนที่ไม่เรียบเป็นหลุมเป็นบ่อ อาจจะทำให้เซนเซอร์ของรถยนต์ไร้คนขับไม่สามารถแยกหลุมบนถนนได้ ทำให้รถยนต์ตกหลุมด้วยความสูงทำให้อาจเกิดอุบัติได้
3.ปัญหาการขับขี่ของรถยนต์คันอื่น แน่นอนว่าถ้ารถยนต์ทุกคันบนท้องถนนเป็นรถยนต์ไร้คนขับทั้งหมดปัญหานี้จะไม่เกิดแน่นอน แต่ในความเป็นจริงแล้ว ตอนนี้คนที่ใช้รถยนต์ไร้คนขับนั้นมีจำนวนน้อยมาก บางครั้งพฤติกรรมการขับขี่ของรถยนต์คันอื่นอาจทำให้รถยนต์ไร้คนขับเกิดความผิดพลาดหรืออุบัติเหตุขึ้นได้ เช่น การขับปาดหน้า ขับจี้ท้าย หรือแม้แต่ขับย้อนศร รถยนต์ไร้คนขับอาจตัดสินใจผิดพลาดได้
4.ด้านราคา ถึงแม้ในปัจจุบันรถยนต์ไร้คนขับเป็นเทคโนโลยีที่จะมีบทบาทในชีวิตของเราในอนาคตอย่างหลีกเลี่ยงไมได้ แต่สำหรับปัญหาตอนนี้ คือ ราคาของรถยนต์ไร้คนขับมีราคาที่ค่อนข้างสูงมาก ทำให้การซื้อรถยนต์ไร้คนขับสำหรับบุคคลทั่วไปแทบเป็นไปไม่ได้เลย ตัวอย่างเช่น ราคาของ Tesla Model S ที่เป็นรถยนต์ไร้คนขับมีราคาที่ขายในประเทศไทยคือ 6.5 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นราคาที่สูงมากสำหรับบุคคลทั่วไป แต่ในอนาคตราคาของรถยนต์ไร้คนขับก็มีแนวโน้มที่จะลดลง จนคนทั่วไปสามารถเข้าถึงได้ง่าย ถ้ารัฐบาลให้การสนับสนุน
การเตรียมตัวเพื่อรถยนต์ไร้คนขับสำหรับประเทศไทย
1.ศักยภาพของรถยนต์ไร้คนขับกับประเทศไทย
ประเทศส่วนใหญ่ที่พร้อมใช้งานรถยนต์ไร้คนขับเป็นประเทศพัฒนาแล้วซึ่งมีความพร้อมในด้านต่างๆ มากกว่าประเทศไทย เราจะเห็นได้ว่ารถยนต์ไร้คนขับประกอบด้วยเซนเซอร์จำนวนมากที่ช่วยการวิเคราะห์สถานการณ์รอบๆ ข้าง สำหรับประเทศไทยเราถ้าพูดถึงรถยนต์ไร้คนขับถือว่าเป็นเรื่องที่ใหม่มากๆ แต่เราไม่สามารถปฏิเสธเทคโนโลยีนี้ได้ เราจึงต้องมีการเตรียมความพร้อมเพื่อก้าวให้ทันเทคโนโลยีนี้
2.ความพร้อมด้านสภาพแวดล้อม
แน่นอนว่ารถยนต์ไร้คนขับต้องวิ่งบนถนนที่มีลักษณะที่แตกต่างกันไปในแต่ละพื้นที่ รวมถึงต้องขับขี่บนสภาพถนนที่ไม่สมบูรณ์และป้ายจราจรที่ไม่ชัดเจนรวมถึงสภาพแวดล้อมอื่น ๆ เช่น สัตว์เลี้ยงบนถนน คนขับมอเตอร์ไซด์ สภาพแวดล้อมแบบนี้อาจทำให้รถยนต์ไร้คนขับไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพและนำไปสู่การเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้
3.ความพร้อมด้านกฎหมาย
แน่นอนว่ารถยนต์ไร้คนขับต้องถูกพิจารณาเพื่อให้มีกฎหมายรองรับเมื่อเกิดเหตุการณ์ต่างๆ เช่น ถ้ารถยนต์ไร้คนขับเกิดอุบัติเหตุในสักวัน ในทางกฎหมายแล้วคนที่ต้องรับผิดชอบต้องเป็นเจ้าของรถหรือบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ เป็นต้น
ข้อดีของรถยนต์ไร้คนขับสำหรับประเทศไทย
ในปัจจุบันประเทศไทยเรามีอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงเป็นอันดับสองของโลกเป็นรองเพียงประเทศนามิเบีย โดยไทยมีสถิติการเสียชีวิตจากอุบัติเหตุคิดเป็น 44 คนต่อประชากร หนี่งแสนคนในรอบ 1 ปี แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเมื่อคนไทยได้ยินข่าวเรื่องการเกิดอุบัติในประเทศนั้นถือเป็นเป็นเรื่องปกติ เพราะคิดว่าเป็นเรื่องที่ไกลตัว แต่ถ้าเทียบกับสถิติทั่วโลกจะเห็นว่าประเทศไทยมีการเกิดอุบัติเหตุที่สูงมาก เราควรที่จะต้องเริ่มตระหนักถึงการเกิดอุบัติที่อาจจะเกิดกับตัวเราหรือบุคคลใกล้ชิด
ผลกระทบของรถยนต์ไร้คนขับต่อประเทศไทย
แน่นอนว่าถ้าหากรถยนต์ไร้คนขับเริ่มเข้ามามีบทบาทในประเทศไทยมากขึ้น หลายๆอาชีพย่อมได้รับผลกระทบจากเทคโนโลยีนี้อย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นคนขับรถบรรทุก คนขับรถแท็กซี่ คนขับรถส่งพัสดุ อาชีพเหล่านี้ล้วนเกี่ยวกับการใช้รถยนต์เป็นหลัก ในอนาคตรถยนต์ไร้คนขับจะมาแทนอาชีพเหล่านี้อย่างแน่นอน ทำให้คนที่ทำอาชีพเหล่านี้ต้องมีการปรับตัวเพื่อรับกับเทคโนโลยีนี้ให้ได้
แล้วนี่ก็คือเรื่องของรถยนต์ไร้คนขับที่นำเสนอทั้งหมดนี้ น่าสนใจใช่ไหมละ และสำหรับใครก็ตามที่ไม่อยากขับรถเอง แต่ยังไม่มีรถยนต์ไร้คนขับ สามารถใช้บริการเช่ารถหรูพร้อมคนขับ กับ Exclusive ได้นะ มีบริการขับให้ไปส่งถึงที่ คนขับของของเราจะขับรถไปที่ต่างๆให้เราได้ทั่วไทย เติมน้ำมันให้เต็มถัง ให้เราได้นั่งเล่นชิลๆสบายๆเลย เป็นการอุ่นเครื่องก่อนที่จะมีรถยนต์ไร้คนขับในอนาคต ไม่ต้องขับให้เหนื่อยเมื่อยล้าอีกต่อไป